วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประวัติกีฬาโอลิมปิก

ประวัติกีฬาโอลิมปิก
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (อังกฤษ: Olympic Games) หรือ โอลิมปิกส์ (Olympics) เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิด จากหลายประเทศทั่วโลก โดยจัดขึ้นทุก 4 ปี และมีการแบ่งออกเป็น โอลิมปิกฤดูร้อน และ โอลิมปิกฤดูหนาว
กีฬาโอลิมปิคมีกำเนิดมาเป็นเวลานานแล้วโดยได้มีการบันทึกถึงกีฬาโอลิมปิคครั้งแรกว่า เกิดขึ้นในปี 776 B.C. และได้มาสิ้นสุดลงในปี 393 A.D. เมื่อจักรพรรดิโรมัน Theodosius ได้ประกาศยกเลิก

จนกระทั่งปี 1892 นักศึกษาชาวฝรั่งเศส Pierre de Coubertin ได้ฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิคขึ้นมาใหม่ แนวความคิดของ Coubertin เกี่ยวกับการรื้อฟื้นกีฬาโอลิมปิคนี้ได้ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นเมื่อมีการประชุมสหภาพกีฬาสมัครเล่น แนวความคิดเกี่ยวกับกีฬาได้กระจายออกไปทั่วยุโรป และในที่สุดในปี 1894 แนวคิดเรื่องกีฬาโอลิมปิคสากลก็ได้เป็นความจริงขึ้นมา

ในปี 1896 ผู้แทนนักกีฬาจากหลายประเทศได้เดินทางมาร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิคสากลแนวใหม่ในครั้งนี้ รวมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการโอลิมปิคสากลขึ้นเพื่อดูแลและจัดการแข่งขัน

ในการรื้อฟื้นกีฬาโอลิมปิคขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ Coubertin ได้พยายามให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วม สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนไม่ใช่ชัยชนะแต่เป็นการต่อสู้ เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงควรมีวิธีการที่ถูกต้องในการต่อสู้มีความเป็นนักกีฬา
แนวความคิดของ Coubertin ได้ถูกพิสูจน์อยู่ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการบอยคอต การคดโกงในการแข่งขันด้วยวิธีต่าง ๆ ความโลภมากของผู้เกี่ยวข้อง
สมาชิกกีฬาโอลิมปิก

ในปัจจุบัน ประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกโอลิมปิก 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน เพราะเป็นประเทศเล็ก ขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬา บารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ได้ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครอง แต่อย่างใด ความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่าง ๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถวไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเข้าร่วม”

คบเพลิงโอลิมปิก
โคมไฟโอลิมปิก เมื่อมีการแข่งขันโอลิมปิกจะมีการจุดไฟกองใหญ่ขึ้นบนยอดเขาโอลิมปัส เพื่อให้ความสว่างไสว และเพื่อเป็นสัญญาณประกาศให้คนทั่วไปได้ทราบว่า การเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว พิธีการจุดไฟนั้น เริ่มแรกทำบนยอดเขาโอลิมปัส โดยใช้แว่นรวมแสงอาทิตย์ไปยังเชื้อเพลิง เมื่อติดไฟแล้ว จึงนำตะเกียงต่อเอาไว้ ไฟกองใหญ่จะคงลุกโชติช่วงต่อไปจนตลอดงานฉลอง ส่วนตะเกียงนั้นจะมีการวิ่งถือไปทั่วทุกนครรัฐ ด้วยการส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ จากนักวิ่ง คนละ 2 ไมล์ หากผ่านทะเลหรือแม่น้ำก็จะลงเรือข้ามฟากโดยไฟไม่ดับ ไฟนี้ชาวกรีก ถือว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ และความสงบสุขของชาวกรีก ซึ่งพระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อบุคคลที่ไม่สนใจในกิจการนี้
โอลิมปิกในปัจจุบัน ยังคงรักษาประเพณีเรื่องการจุดไฟไว้ดังเดิมทุกประการ กล่าวคือ ก่อนจะมีการแข่งขันจะมีพิธีจุดไฟ ณ เขาโอลิมปัส ผู้จุดคือ สาวพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ต่อไฟจากแว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์ด้วยคบเพลิง และไฟนี้จะถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิกทั่วโลก และข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และมีการวิ่งถือคบเพลิงส่งต่อกันไปจุดที่กระถางใหญ่บริเวณงานในวันแรกของพิธีเปิดการแข่งขัน ไฟจะต้องไม่ดับตั้งแต่เริ่มจุด ณ ภูเขาโอลิมปัส จนกว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้น ๆ


ธงโอลิมปิกมีผืนธงเป็นสีขาว ขนาดมาตรฐานยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนเครื่องหมายห้าห่วงคล้องกันอยู่บนกลางธง ขนาด 2 เมตร คูณ 0.60 เมตร มีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง ตามลำดับจากซ้ายไปขวา คล้องไขว้กันอยู่ตรงกลางสองแถว แถวบน 3 ห่วง แถวล่าง 2 ห่วง ห่วงสีที่คล้องกันอยู่ตรงกลางธงบนพื้นธงสีขาว รวมเป็น 6 สี โดยแท้จริงแล้ว ห้าห่วงหมายถึง ห้าส่วนของโลกที่อยู่ในโอบอ้อมของ “โอลิมปิกนิยม” มิเจาะจงเป็นห้าทวีปในโลกอย่างที่เข้าใจกัน แต่บังเอิญห้าทวีปนี้ก็เป็นห้าส่วนของโลกก็เลยอนุโลมกันไปเช่นนั้น ส่วนสีที่ห่วง 5 สี มิได้หมายถึงสีประจำทวีป ซึ่งสีทั้งหมด 6 สี รวมทั้งสีขาวที่เป็นพื้นธง หมายความว่า ธงชาติของประเทศต่าง ๆ ในโลกประกอบด้วยสีใดสีหนึ่งหรือมากกว่านั้นในจำนวนหกสีนั้น และไม่มีธงชาติของประเทศใดที่มีสีนอกเหนือไปจากหกสีนี้

ด้านล่างของห่วงมีคำอยู่ 3 คำ ซึ่งเป็นภาษาโรมัน แต่ละคำมีความหมายดังต่อไปนี้
Citius (swifter) : ความเร็ว ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องวิ่งให้เร็วที่สุด
Altius (higher) : ความสูง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องทำให้สูงที่สุด
Fortius (stronger) : ความแข็งแรง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องมีความแข็งแกร่งที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น